argylle (2024) อาร์ไกล์ ยอดสายลับ
อาร์ไกล์คือใคร? ไปหาคำตอบกับในภาพยนตร์ Argylle อาร์ไกล์ ยอดสายลับ
แค่เห็นชื่อผู้กำกับ Kingsman อย่าง แมทธิว วอห์น (Matthew Vaughn) กลับเข้าสู่สู่โลกแห่งสายลับอีกครั้งกับแอ็คชั่นคอมเมดี้เกี่ยวกับนักเขียนนวนิยาย (ไบรซ์ ดัลลาส ฮาวเวิร์ด – Bryce Dallas Howard) ที่ดึงดูดความสนใจของกลุ่มอาชญากรรมใต้ดิน เมื่อแผนการในนวนิยายจารกรรมสะท้อนกิจกรรมของพวกเขาอย่างน่าประหลาด ขึ้นอยู่กับสายลับนอกเครื่องแบบที่จะช่วยเธอและแมวของเธอให้รอดพ้นอันตรายครั้งนี้ ซึ่งแค่ฟังเนื้อหาก็ทำให้เราคิดถึง Kingsman ขึ้นมากลาย ๆ
แค่รายชื่อนักแสดง ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด (Bryce Dallas Howard), แซม ร็อคเวลล์ (Sam Rockwell), เฮนรี คาวิลล์ (Henry Cavill), จอห์น ซีน่า (John Cena), ดูอา ลิปา (Dua Lipa), ไบรอัน แครนสตัน (Bryan Cranston), โซเฟีย บูเทลลา (Sofia Boutella) และ ซามูเอล แอล. แจ็คสัน (Samuel L. Jackson) ก็ตั้งตาที่เข้าฉายในช่วงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ นี้แล้ว
โดยหนังดัดแปลงมาจากหนังสือนิยายสายลับของ เอลลี คอนเวย์ (Elly Conway) นามปากกาของนักเขียนนิรนามที่ก็ไม่รู้ว่าตัวจริงเป็นใคร จนมีทฤษฎีสมคบคิดออกมาว่านี่คือนามปากกาของแม่ เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) นั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นแค่นักเขียนไม่อยากออกสื่อ หรือทั้งหมดก็แค่การตลาดอันซับซ้อน (เพราะหนังสือดันมาวางแผง 1 เดือนก่อนหนังฉายพอดี) อันนี้ก็ต้องตามดูต่อไป เพราะเบื้องต้นพี่วอห์นวางไว้ว่า ถ้าหนังออกมาปัง ก็เตรียมขยายเป็นหนังไตรภาคกันไปเลย
ตัวหนังเป็นเรื่องราวของ เอลลี คอนเวย์ (ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด – Bryce Dallas Howard) สาวโสด Introvert เจ้าของผลงานหนังสือนิยายนักสืบที่มีความสุขกับการเขียนงาน เล่าเรื่องราวภารกิจของสายลับอาร์ไกล์ (เฮนรี คาวิลล์ – Henry Cavill) หน้าคอมพิวเตอร์ (ที่แน่นอนว่าต้องเป็น iMac) อยู่ที่บ้าน และเป็นมี้ให้กับเจ้าแมวพันธุ์สก็อตติชโฟลด์ที่มีชื่อว่า แอลฟี (ชิป – Chip) แต่ในระหว่างที่เธอเดินทางไปหาแม่ รูธ (แคตเธอรีน โอฮารา – Catherine O’Hara) เธอได้พบเจอกับ เอเดน (แซม ร็อกเวลล์ – Sam Rockwell) ชายลึกลับ และต้องเผชิญการไล่ล่าของ ริตเตอร์ (ไบรอัน แครนสตัน – Bryan Cranston) หัวหน้าขององค์กรดิวิชัน (Division) ผู้ชั่วร้าย แบบเดียวกับเรื่องราวในหนังสือที่เธอเขียนเป๊ะ เอลลี นักสืบอาร์ไกล์ (และแอลฟี) จึงต้องร่วมปฏิบัติภารกิจชิงมาสเตอร์ไฟล์ ไม่ให้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของริตเตอร์
ลำพังถ้าดูเรื่องย่อและตัวอย่าง หลายคนก็อาจจะคิดว่านี่คือหนังที่จะมาชำแหละหนังแนวนักสืบ แนวจารกรรมอะไรทำนองนี้ใช่ไหม ซึ่งคำตอบก็คือทั้งใช่และไม่ใช่ครับ ที่บอกว่าใช่ เพราะว่าองก์แรกของหนังมันก็เป็นแบบนั้นเลย ซึ่งก็ชวนให้คิดถึง ‘Kick-Ass’ ที่ชำแหละหนังซูเปอร์ฮีโร แล้วใส่พล็อตเพี้ยน ๆ อีหยังวะสไตล์ ‘Kingsman’ เข้าไปนิดหน่อย
แน่นอนว่าพอมีการยืมสูตรสำเร็จของหนังแอ็กชันจารกรรมรุ่นพี่มาใช้เป็นแม่แบบ ตั้งแต่ เจมส์ บอนด์ (James Bond) รวมทั้ง ‘Mission: Impossible’ หรือแม้แต่ ‘Fast & Furious’ ภาคหลัง ๆ หรือแม้แต่การล้อจริตของหนังนักสืบในเชิงวรรณกรรม มันก็เลยทำให้องก์แรกของหนังมีความซ้ำซากจำเจสำหรับหนังแนว ๆ นี้พอสมควร ก่อนจะค่อย ๆ แทรกมุกตลกที่มีความแฟนตาซี รวมทั้งจังหวะการหักมุมพลิกตลบเรื่องที่ค่อย ๆ คลายปม และดึงเอาโลกของเอลลี และโลกในนิยายของอาร์ไกล์เข้ามาหากัน เพื่อจะได้ตามต่อไปว่าทั้ง 2 โลกมันเกี่ยวข้องกันได้ยังไง
และที่ผู้เขียนบอกว่าไม่ใช่ก็เพราะว่าในองก์ที่ 2 ตัวหนังก็ค่อย ๆ ขยายขนาดเรื่องราวที่ตัวอย่างไม่ได้ใส่ไว้ด้วยการทวีคูณความหักมุมพลิกล็อกเรื่องไปมา เป็นวิธีการเล่าเรื่องพล็อตซ้อนพล็อตที่ยังคงขนบของการยั่วล้อจริตและ Stereotype ภาพของนักสืบ และหนังนักสืบ ในขณะที่พล็อตก็ค่อย ๆ คลายปมบางอย่างออกมาทีละน้อยจนคาดเดาแทบไม่ได้ว่าเนื้อเรื่องมันจะไปทางไหน ยิ่งเฉลยก็ยิ่งมีแต่เรื่องเพี้ยน ๆ ชวนเหวอมากขึ้นกว่าเดิมอีก ถ้าไม่นับความวุ่นวายที่ต้องมานั่งเชื่อมโยงปะติดปะต่อ แยกแยะจุดหักมุมทั้งหลายที่พลิกแล้วพลิกอีก ปั่นแล้วปั่นอีกว่าตกลงแล้วใครเป็นใคร อะไรเป็นอะไรกันแน่ ตัวหนังก็ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่ของการล้อหนังนักสืบที่ล่อหลอกปั่นหัวคนดูได้พอสมควร
ซึ่งพอปะติดปะต่อได้แล้วนั่นแหละ ถึงจะเริ่มรู้สึกบันเทิง เริ่มสนุกไปกับหนังขึ้นมาได้ แล้วก็รู้สึกอยากเห็นหนังมันโม้เลยเถิดไปเรื่อย ๆ ดูสิว่าแกจะโม้แหลกได้ถึงไหน ซึ่งปรากฏว่ามันก็โม้แหลกจริง ๆ นั่นแหละ ยิ่งฉากไคลแม็กซ์ที่เวอร์วังผีบ้าผีบอเป็นละครเวทีไปเลย (ถึงจุดนี้ก็คือช่างแม่-ตรรกะไปแล้ว อยากทำอะไรก็ทำ) หรือฉากหักมุมสุดท้ายที่บ้าบอคอแตกมาก (แต่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่ามันแอบปาหมอนไปนิดนะ) คือถ้าใครไม่รู้สึกเหวอจนเวียนหัว หรือ Cringe แตกกับพล็อตและการกระทำของตัวละครที่อีหยังวะเพิ่มขึ้น ๆ จนรับไม่ได้ ก็ปล่อยจอยขำก๊ากกันจนรวนไปข้างหนึ่ง
อีกส่วนที่ถือว่าบันเทิงพอใช้ได้ก็คือ ฉากแอ็กชันที่มีไม่เยอะ และจริง ๆ แล้วก็ยังทำได้ดีพอสมควร มีความเท่ ความดิบ แต่ก็อลังการและฉูดฉาด เพียงแต่ถ้าเทียบกับแอ็กชันรุนแรงเรต R ที่เป็นลายเซ็นของผู้กำกับ ด้วยความที่ฉากแอ็กชันก็แอบมีจังหวะเนือยพอสมควร รวมทั้งการที่หนังถูกบล็อกไว้ที่เรต PG-13 จังหวะไหนอยากเล่นมุกโหดก็เลยต้องใช้มุมกล้อง+ตัดต่อบังสายตาเอา ดีกรีความโหดสะใจก็เลยไปไม่ถึงอย่างที่คาดหวังว่าจะได้เห็น
สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นสิ่งที่แทบจะดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ก็คือเคมี และลีลาของบรรดานักแสดงครับ คือช่วยหนังได้ระดับหนึ่งเลย บทหลักอย่างเอลลี ที่รับบทโดย ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด ก็ถือว่าเหมาะสมกับการรับบทแนว ๆ นี้อยู่แล้ว (แต่ก็มีอะไรที่เซอร์ไพรส์และแอบสปอยล์ไม่ได้จริง ๆ ) รวมทั้งเคมีของเธอกับ แซม ร็อกเวลล์ ก็ถือว่าเข้ากันได้อย่างคาดไม่ถึง ที่ผู้เขียนรู้สึกชอบส่วนตัวอีกคนก็คือลุงไบรอัน แครนสตัน ที่อาจจะไม่ได้ฉายแสงเด่น แต่ก็มีจังหวะโชว์ของอยู่ จะแอบเสียดายก็ตรงที่ทัพนักแสดงดัง ๆ หลายคนที่ไม่ได้มีบทบาทเด่น คือเหมือนมาโผล่เป็น Cameo เฉย ๆ
ที่เรียกว่าเป็นบทสมทบจริง ๆ ก็คือพ่อหนุ่ม เฮนรี คาวิลล์ ในมาดสายลับอาร์ไกล์นี่แหละ เหมือนผู้กำกับแกอยากเอามาแกล้งเฉย ๆ อ่ะ คือขนาด จอห์น ซีนา ยังมีบทเด่นเยอะกว่าอีก แต่ถ้าใครอยากเห็นพี่เค้าเป็น 007 ก็ถือว่าสมหวังอยู่นะ (555) อ้อ แล้วอีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ เจ้าชิป ที่จริง ๆ แล้วมีศักดิ์เป็นถึงเจ้านายของ คลอเดีย ชิฟเฟอร์ (Claudia Schiffer) ภรรยาของวอห์นเชียวนะครับ (นี่มันแมวเด็กเส้นชัด ๆ …) เห็นแบบนี้ แต่น้องเป็นตัวขโมยซีนละลายทาสเชียวนะ แต่มันก็น่าเสียดาย…
คือมันน่าเสียดายตรงที่ฉากส่วนใหญ่ โดยเฉพาะฉากแอ็กชันที่มีเจ้าชิปร่วมผจญภัยเฉียดตายมาแล้วเนี่ย มันเป็น CGI ครับ มันคือแมวคอมพิวเตอร์กราฟิกชัด ๆ ซึ่งก็เข้าใจได้แหละว่า ไอเดียบ้าบิ่นขนาดนี้ คงไม่มีใครอำมหิตที่จะถ่ายด้วยการเอาแมวจริง ๆ ไปเข้าฉากแอ็กชันโดดตึก อุ้มขึ้นเรือแบบไม่ใส่กระเป๋า มุดเข้าใต้ถุน หนีระเบิด หลบห่ากระสุนได้ (สงสารน้อง…)
แต่มันก็เป็นจุดหนึ่งที่ฟ้องว่าหนังเรื่องนี้ใช้ CGI ได้เปลืองมาก ๆ ทั้งที่ใช้ทุนสร้างไปถึง 200 ล้านเหรียญเชียวนะ จริง ๆ ส่วนใหญ่ก็ถือว่าทำออกมาได้ไม่แย่แหละ แต่มันก็ยังมีแผลหลายจุดอยู่ ยิ่งถ้าดูบนจอ IMAX ก็ยิ่งเห็นชัดเลย แมวซีจีชัด ๆ สำหรับผู้เขียนที่เป็นทาสแมวคนหนึ่ง คือแมว CGI มันน่ารักไม่เท่าแมวจริง มันก็เลยดูขัดหูขัดตาขัดใจทาสอยู่พอสมควร
สำหรับคนชอบหนังนักสืบ หนังเรื่องนี้ยังไงก็ต้องดูครับ สำหรับคนที่ไม่ได้อินกับความเพี้ยนของหนัง นี่คือหนังที่อาจจะไม่ใช่ทางจนอาจจะไม่สนุก หรือไม่ก็ไปรอดูใน Apple TV+ ทีเดียวไปเลยดีกว่า และมันก็อาจจะไม่ใช่หนังที่มีอะไรค้างไว้ในหัวให้จดจำได้ชัดเจนนัก จากการเล่าเรื่องที่วืดวาดและพล็อตที่ใส่่ไปเรื่อยไม่ยั้งจนแอบไม่ทันตั้งตัว
แต่ถ้าว่ากันในฐานะดูเอาบันเทิง นี่คือหนังที่มีไอเดียในการแหวกและฉีกขนบ เป็นการหาวิธีใหม่ให้กับสูตรสำเร็จของหนังจารกรรมแนว ๆ นี้ได้อย่างน่าสนใจ มันไม่ได้สดใหม่กิ๊ก แต่มันก็ยังมีดีที่เนื้อเรื่องและไอเดียที่เพี้ยนไปเรื่อยแบบไม่มีสิ้นสุด ก็ถือว่าเป็นหนังแกล้มป๊อปคอร์นที่ดูได้เพลิน ๆ และปั่นหัวได้แรงมาก และถ้ารับได้เรื่องแมวซีจีล่ะก็นะ